“ใบไม้เปลี่ยนสีที่เซนได” (ตอนจบ)
ปิดท้ายทริปนี้จิ๊กจะพาไปเที่ยวธรรมชาติที่ยังสดใหม่ และที่สำคัญคนไทยไปเที่ยว 2 จุดนี้น้อยมาก เพราะตลอด9 วันที่จิ๊กไปเที่ยวแบบเจาะลึกทุกจังหวัดทางภาคโทโฮคุ หรือภาคอีสานของญี่ปุ่นยังไม่เจอคนไทยเลยเจอแต่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
จุดแรกที่จะพาผู้อ่านไปเที่ยว คือ “การเดินเข้าป่าที่ภูเขาฮากุโระ จ.ยามางาตะ” ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น ที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ ‘ศาลเจ้าฮากุโระ’
เมื่อไปถึงจิ๊กและเพื่อนๆ ได้เจอกับพระภูเขา
พระภูเขาคือ นักบวชที่ตั้งใจมาบวชและจำวัดอยู่ในป่า นึกง่าย ๆ ก็เหมือนกับพระป่าของบ้านเราล่ะค่ะซึ่งที่นี่เมื่อก่อนมีผู้หญิงมาบวชเป็นพระด้วยแต่วันที่จิ๊กไปเที่ยวที่วัดแห่งนี้ไม่เจอผู้หญิงที่มาบวช เลยเก็บภาพไม้สนแกะสลักเป็นรูปนักบวชทั้งชาย-หญิงมาฝากผู้อ่าน
เมื่อเราเข้าไปถึงภายในศาลเจ้าฮากุโระซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นศาลเจ้าหลัก ภายในศาลเจ้าแห่งนี้มีการอันเชิญเทพของทั้ง 3 ภูเขาแห่งเทือกเขาฮากุโระมาไว้อยู่ ณ จุดเดียวเพื่อให้คนที่ไปเที่ยวได้สักการะครบทั้ง 3 องค์ เรียกว่า one stop service จริง ๆ ค่ะ (เสียดายที่ข้างในเขาไม่ให้ถ่ายรูป เลยอดได้ภาพสวยๆ มาฝาก)
**ผู้อ่านเคยรู้สึกอย่างจิ๊กไหม๊คะ? เวลาเราไปเที่ยวตามโบราณสถาน หรือ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะใช้ภาษาอะไรก็ตามที่เราฟังออกบ้าง-ไม่ออกบ้างแต่เมื่อเราให้ความเคารพ หรือบางครั้งมีนักบวชของศาสนานั้นๆ มาอวยพร, ให้พรเรามักจะรู้สึกดี....เหมือนกับได้รับพลังบวกเข้ามา**
หลังจากเข้าไปทำความเคารพและรับพรแล้ว ก่อนเดินออกจากศาลเจ้าฮากุโระยังได้รับแจก Goodbye drink เป็นเหล้าสาเกอ่อน ๆ เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้นและพร้อมเผชิญอากาศเย็นตอนขากลับหลังออกจากตัวอาคาร อ้อลืมบอกไปช่วงที่จิ๊กไปคือ ต้นเดือน พ.ย 2562 อากาศบนภูเขานี่ประมาณ 2-3 องศาค่ะมีหมอกลงและถึงแม้จะใส่เสื้อหนาวหลายชั้นแต่ขนบนใบหน้าก็สามารถสะดุ้งได้เมื่อเจอลมพัดผ่านเป็นบางที
ก่อนกลับจิ๊กไม่ลืมถ่ายภาพชุดกิโมโนที่ทักทอด้วยเส้นทองคำ !! ที่ทางพระภูเขาบอกว่าเป็นอีกหนึ่งสมบัติของชาติและประเมินค่าไม่ได้
ระหว่างทางที่เดินเที่ยวบนภูเขาฮากุโระเจอกับต้นสนที่ขึ้นอยู่ 2 ข้างทางที่มีอายุกว่า 350-500ปีขึ้นเรียงรายตลอดทางเดินและมีต้นไม้ต่าง ๆ ขึ้นเขียวชอุ่มไปทั่วทั้งป่า
เส้นทางนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของชาติ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลสามดาวจากมิชลินปกเขียวอีกด้วย
*มิชลินปกเขียว คือ การแนะนำสถานที่ต่างๆ เช่น โรงแรม บาร์ หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและควรไปเยือน*
อีกหนึ่งไฮไลท์ของภูเขาฮากุโระคือ เจดีย์ที่ทำจากไม้สนอายุกว่า 2,000 ปีที่สำคัญไม่ใช่ตะปูแม้แต่ดอกเดียวในการก่อสร้างเป็นเจดีย์ 1ใน 9 องค์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่นและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกล้ำค่าของชาติ
ปิดท้ายเรื่องที่จะเล่าในทริปนี้ก็คือ การไปเที่ยว“หุบเขาโอยาสุเคียว หรือ หุบเขานรก” อยู่ใน จ.อาคิตะ ลักษณะของหุบเขานี้จะเป็นรูปตัววีการเดินเท้าเพื่อไปยังหุบเขาแห่งนี้ถือว่าสะดวกและค่อนข้างปลอดภัย เพราะมีทางเดินและมีราวกั้นกันคนตก ทางการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นใส่ใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะสังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางเดินหรือห้องน้ำตามที่ต่าง ๆ มีเยอะมาก
คุณปิ่นซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นเล่าให้จิ๊กฟังว่า ที่หุบเขาโอยาสุเคียวแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงวงแหวนแห่งไฟ อีกยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยยังไม่ค่อยไป น้อยคนที่จะรู้จัก ส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวก็จะเป็นคนญี่ปุ่นเอง ก็จริงล่ะค่ะ ! ช่วงที่จิ๊กมา “ถือว่าเป็นช่วงที่พีคที่สุด” ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสันสวยงามทั้งเขียว เหลืองแดง อากาศเย็นสบาย เหลียวซ้ายแลขวายังไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลยค่ะ เห็นแต่คนญี่ปุ่นมาเที่ยวบ้างเป็นคู่ๆ
จิ๊กและเพื่อน ๆ เดินตามทางเดินลงไปจนถึงจุดที่ลึกที่สุดของหุบเขามองเห็นลำธารสีเขียวมรกตที่เกิดจากแร่ธาตุใต้ดินไหลออกมาพร้อมกับน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นจากทางแยกของหุบเขา
เดินเล่นอยู่ก็เผลอคิดไปไกลว่า....ถ้าอีกหน่อยมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะ ๆ อาจจะมีร้านค้ามาตั้งขายไข่แล้วให้นักท่องเที่ยวซื้อเพื่อเอาไข่ไปแช่น้ำร้อนเหมือนบางที่หรือมีการตั้งจุดไฮไลท์แล้วเกิดธุรกิจรับถ่ายภาพ เห้อออออ.....แค่คิดก็เสียดายความสด ความสันโดษและความเป็นธรรมชาติที่จะหายไปแล้วค่ะ (ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย)
เมื่อก่อนสำหรับจิ๊กการไปเที่ยว คือ การได้ไปลอง ไปดูไปรู้ ไปเห็น ในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องสถาปัตยกรรมที่มีมากว่าหลายร้อยปีหรือเป็นพันๆ ปีแต่การมาเที่ยวเซนไดแบบเจาะลึกทั่วทั้งภาคอีสาน รวมทั้งการเข้าป่าแบบนี้ทำให้ความคิดของจิ๊กเปลี่ยนไป บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องไปดู – ไปรู้ถึงความศิวิไลซ์มากนักแค่อยากอยู่กับสิ่งที่ยังดิบ ๆ แบบธรรมชาติที่มนุษย์ยังไม่เข้าไปสร้างเสริมเติมแต่ง ก็มีความสุขได้อีกแบบ ทุกวันนี้ก็ยังเชื่อนะคะว่า ‘ สวรรค์บนดิน ’ มันมีจริง ๆค่ะ